วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้คณะกรรมทั้งชุดเพิ่มมาตรการในการวิเคราะห์ไล่หนู

ผู้นำรัฐประหารได้ยื่นคำขาดแก,พระยามโนปกรณ์นิติราดาให้ลา ออกรวมทั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อเห็นแก่อิสระภาพความสงบเรียบร้อยของ บ้านเมืองเช้าของวันที่ ๒๐ มิถุนายน พระยามโนปกรณ์ฯ มิจดหมายถึงพระยา พหลฯ ด้วยข้อความสันๆ อุปกรณ์คลื่นรบกวน  ว่า “ผมได้รับหนังสือของเจ้าคุณในวันนี้ ขอให้ ผมลาออกจากนายกรัฐมนตรี ได้ทราบ...ผมและคณะรัฐมนตรีลาออกจาก ตำแหน่ง และจะได้นำโทรเลขกราบถวายบังคมทูลวันนิ”คืนของวันที่ ๒๐ มิถุนายน พระยาพหลฯ ได้ให้เจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง พร้อมด้วย สมาชิกผู้แทนฯ หนึ่งในสามไปเฝืาทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระราชวัง ไกลกังวลหัวหิน เพื่อทูลเกล้าขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแต่ง ตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศชาติต่อไป พันโทแปลก พิทูลสงคราม ได้ส่อแววของการเป็นผู้นำ ด้วยการ เป็นทหารเสือคู่ใจของพระยาพหลฯ เช้าแก่ไขวิกฤตทางการเมืองของชาติ อีกครั้งหนึ่ง!ปราบกบฏบวรเดช©มี่อครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ คณะ ราษฏร์ทำการปรับปรุงกองทัพบกอย่างขนานใหญ่ เพื่อให้เป็นกอง ทัพที่มีประสิทธิภาพเยี่ยงกองทัพในอารยประเทศแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คณะราษฎร์มีเป้าหมายกวาดล้างกลุ่มเจ้า นายเชื้อพระ'วงคั เพื่อมิให้กองทัพเป็นฐานให้ระบบสมบูรณาณาสิทธิราชย์ กลับฟืนคืนมาอีกการเปลี่ยนแปลงกำลังพลในครั้งนั้นฝ่ายคณะราษฎร์สามารถ รวบรวมสรรพกำลังไว้ในกำมืออย่างสิ้นเชิง ในการปลดและโยกย้ายนี้มียศ ระดับพลโท sr คน พลตรี ๑๐ คน พันเอก ๒๒ คน และยังปลดพระยา อธิกรณ์ประกาศออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจด้วย ยิ่งกว่านั้นหลังการปฏิว้ติใหม่ๆ พระบรมวงศานุวงค์และผู้ที่ยังจงรัก ภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ต่างไม่ยินยอมพร้อมใจที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ และพากันก่อหวอดขึ้นลับๆ เพื่อที่จะรื้อฟัน ไล่หนูไร้สาย ระบอบเก่าขึ้นมาทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ทราบเรื่องนี้ แต่ก็ใม่กล้าทำการอะไรลงไป ให้เป็นที่รุนแรง เกรงไปว่าจะเป็นการกระทบกระเทือนพระราชหฤทัยต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่พระบรมวงศานุวงค์ก็มักมีการประชุมลับและตระเตรียมการยึด อำนาจกลับคืนมา รัฐบาลคิดดูแล้วหากใช้กำลังเข้าปราบ คงหนีไม่พ้นการ นองเลือด รัฐบาลจึงตัดสินใจนำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบพฤติการณ์นานาของกลุ่มผู้คิดก่อการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้พระยาว รพงค์เสนาบดีกระทรวงวัง นำเอาพระราชหัตถเลขาของพระองค์มอบต่อ พระบรม1วงศานุ'วงค์และผู้ที่'จะก่อการ'ว่า“...ฉันเห็นว่า ถ้าเป็นจริงดังนั้นก็ไม่สมควรเลย พระราชวงค์ควรช่วย กันรักษาความสงบโดยละม่อมละไม เพราะความมุ่งหมายของรัฐธรรมนุญ ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความดำริของฉัน...ชี้แจงแก่ผู้จงรักภักดีอย่าให้ทำการ ใดๆ ซึ่งไม่สงบราบคาบ แม้เพียงใช้กิริยาวาจาเสียดสีก็มิบังควร เพราะ ถ้าเกิดเป็นปากเป็นเสียงกันแล้วก็จะเป็นอันตรายต่อความสงบราบคาบ” อย่าง1ไรก็ดี รัฐบาลและคณะราษฎร์เกรงว่ายังมีผู้คิดจะโค่นระบอบ ประชาธิปไตย และเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม จึงได้ทูลเชิญสมเด็จพระเจ้า พื่ยาเธอกรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ให้เสด็จไปอยู่ต่างประเทศเป็นการ ชั่วคราว เพราะหากพระองค์ยังประทับอยู่ในประเทศแล้ว จะเป็นเงื่อนไข ในการปฏิว้ติล้างระบอบประชาธิปไตยกระนั้นก็ตาม...พระองค์เจ้าบวรเดช ขายเครื่องไล่หนู  อดีตเสนาบดีกลาโหมและ ขุนนางทั้งหลาย ตลอดจนนายทหารบางพวก ที่ยังจงรักภักดีต่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ไม่พอใจกลุ่มคณะราษฎร์ที่หมิ่นพระบรม เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์อยู่บ่อยครั้งเช่น กรณีนายถวัติ ฤทธี้เดช ได้เป็นโจทก์ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทำให้เชื้อพระวงค์ทั้งหลายมีความเคียดแค้นยิ่งรัฐบาลชุดพระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีไฟเชียวให้นายปริดี พนมยงค์ กลับประเทศไทยได้ ผู้ที่จงรักภักดีต่อระบบพระมหากษัตริย์ อย่างพระองค์เจ้าบวรเดชโจมตีว่า เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปริดีจะต้อง ก่อความเดือดร้อนให้กับเซือพระวงค์ขุนนางอย่างแน่นอน

เครื่องไล่หนู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น