เมื่ออำนาจของจักรวรรดิโรมันพังทลายลง...สิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็น สัญลักษณ์ของความเป็นจักรวรรดิ ก็คงมีอยู่เพียงสถานะของพระสันตะ ปาปาแห่งกรุงวาติกันเท่านั้น และสิ่งนั้ก็มีประโยชน์ไม่น้อยต่อบรรดาผู้นำ เผ่าแต่ละเผ่าในยุโรป ห่วงยางสูบลม ที่พยายามยึดแผ่นดิน พื้นที่ต่างๆ และตั้งตัวขึ้นเป็น “กษัตรย์” พือเปี'น “พระจักรพรรดิ” ในแผ่นดินยุโรปสืบต่อมา...ในฐานะ เป็นสิงทีท่อให้เกิดความซอบธรรมต่ออำนาจและบารมีตัวเอง...หัวหน้าเผ่าชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งที่ชื่อว่า “ชาร์ลสั มาแตล” ซึ่งเคย ถูกมองว่าเป็นพวกอนารยชน เพราะอ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่เป็น รู้จักแต่การใช้หอกใช้ดาบเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้รับการสวมมงกุฎจาก พระสันตะปาปาแห่งกรุงวาติกันเท่านั้น ก็ได้ถูกเรียกขานกันในเวลาต่อมา ว่า...“จักรพรรดิออกุสตุส” แบบเดียวกับอดีตจักพรรติโรมันในยุคทองกัน เลยทีเดียว โดยมีสถานะเป็น “ผู้พิทักษ์จักรวรรดิโรมันอันคักดึ๋สิทธ” แผ่ บารมีโดดเด่นเหนือบรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆ ทั้งหลายโดยดุษฎี...ไม่เพียงแต่ “ความชอบธรรมทางการเมือง” เท่านั้น...ที่บรรดาพระ คริสเตียนสามารถมอบให้, ประทานให้, หรือสถาปนาให้กับบรรดาผู้ตั้งตัว เป็นกษัตริย์ หรือนักรบอัศวินในหมู่ชาวยุโรปทั้งหลาย แต่โดยสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของบรรดาซนเผ่าต่างๆ ในยุโรปโดยเฉพาะบรรดาราษฎร ธรรมดาสามัญ ที่จะต้องดำรงชีวิตอยู่ในฐานะชาวนา, ทาสติดที่ดินให้กับ นักรบ, ขุนพล, แม่ทัพกันแบบตลอดชีวิต สืบทอดมรดกความเป็นทาสกัน ไปจนถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลน เต็มไปด้วยความทุกข์ความลำบากกัน ชนิดเลือดตาแทบกระเด็นโดยปราศจากความหวัง ปราศจากที่ยึดเหนี่ยว พึ่งพิงในด้านอื่นๆ “ศาสนาคริสต์” อันเป็นศาสนาที่โดยแก่นแท้ของ ศาสนานั้น มุ่งที่จะปลอบประโลมให้ความหวังให้ที่ยึดเหนี่ยวทางใจกับคน ทุกข์คนยากมาตั้งแต่ต้น ก็จึงกลายเป็นสิ่งที่แผ'อิทธิพลเข้าไปถึงจิตใจของ ซาวยุโรปได้ในทุกระดับมาตั้งแต่นั้น....22 แดกคุกวิทยาศาสตร์ ล้างตำนาน...ดารวัน อำนาจอิทธิพลของพวกพระที่มีต่อสังคมชาวยุโรปในระยะต้น ๆ ก็ จึงเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่, กว้างขวาง, ลึกซึ้ง...แผ่ขยายครอบคลุมไปทั้ง ทางการเมือง, การปกครอง, การเศรษฐกิจ และยังควบคุมทัศนคติแนว ความคิดในด้านต่าง ๆ ของพวกฝรั่งยุโรปแทบทั้งหมด...แต่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของพวกพระที่มืเพิ่มขึ้นๆ ในทุกๆ ด้าน อำนาจเหล่านั้นก็มีล่วนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหผู่พระชาวคริสต์ ไม่น้อยทีเดียว ผลประโยชน์จากศาสนลมปต, จากอิทธิพลทางการเมือง, การค้า ฯลฯ ทำให้พระจำนวนไม่น้อยแปรสภาพไปเป็นผู้ที่ชักใยอยู่เบื้อง หสังกษัตริย์, อัศวิน, ขุนนางต่างๆ จนบทบาทของพระเข้าไปพัวพันกับ การเมือง, การค้า, ธุรกิจ แสวงหาผลประโยชน์จากสถานะต่างๆ จนถึงขั้น มีการเซ็งลี้ตำแหน่งพระในแต่ละระดับ ติดสินบนเพื่อให้ได้เป็นบาทหลวง, อาร์คบิชอป ไปจนถึงติดสินบนเพื่อให้ตัวเองได้เป็นสันตะปาปากันไปเลย ก็มี...บรรดาพระที่สั่งสมอำนาจบารมี มีข้าทาสบริวารจำนวนมหาศาล มีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง จนกระทั้งถึงขั้นมีกองทัพของตัวเองไม่ต่างอะไรไป จากกษัตริย์, ขุนนาง, อัศวิน แถมยังมี “ความดักดี่สิทรี้” แฝงอยู่ใน อำนาจอีกต่างหาก ก็จึงสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับซาวยุโรปใน ระยะนั้นไม่น้อย นอกจากจะใช้อำนาจแย่งยื้ออิทธิพลทางการเมือง ระหว่างพระด้วยกันเอง, หรือระหว่างพระกับกษัตริย์, ขุนนาง, อัศวินแล้ว ก็ยังถึงขั้นยุยงผลักดันให้กษัตริย์, อัศวิน ไปจนกระทั้งถึงชาวนาออกไปทำ สงครามต่างๆ ตามความต้องการของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนก่อให้เกิด ความรู้สึกเบื่อหน่าย, ชิงชัง, ไปจนถึงขั้นเกิดการปฏิเสธ, ต่อต้านหรือพยายาม ห่วงยางคอ“ปลดปล่อยตัวเอง” ให้เป็นอิสระจากอำนาจของศาสนจักรในทุกระดับใน เวลาต่อมา...ถ้ามองดูจากสภาพสงครามความชัดแย้งต่างๆ ที่มีบรรดาพวกพระ หรือฝ่ายศาสนจักรเข้าไปมีส่วนผลักดัน, ยุยง หรือเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ว่า ทางใดทางหนึ่งกันดูแล้ว...ก็คงต้องยอมรับว่า มันน่าจะสามารถเปลี่ยน ความยอมรับ, ความเชื่อ, ความศรัทธาให้กลายเป็นความเบื่อหน่าย, ความ ชิงชัง, หรือการปฏิเสธและต่อต้านศาสนาจักรได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าจะเป็น “สงครามครูเสด” ที่พวกษัตริย์, อัศวิน, ตลอดไปจนถึงซาวนาถูกพระ คริสเตียนยุให้ไปรบพุ่งทำสงครามกับซาวอิสลาม ยาวนานต่อเนื่องกันมา ถึง 200 ปี...สงครามอันเนื่องมาจากการแตกหักกันเองภายในศาสนาคริสต์ ระหว่างพวก “คาทอลิก” กับพวกที่ “ปฏิเสธ” อำนาจของพระลันตะปาปา แห่งกรุงวาติกันที่เรียกกันว่าพวก “โปรเตสแตนต์” ที่ทำให้เกิดการรบพุ่ง ระหว่างพวกฝรั่งด้วยกันเอง ในระดับชาติต่อชาติหรือภายในชาติเดียวกัน จนทำให้เลือดนองไปทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเลือดชาวอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน และโดยเฉพาะชาวเยอรมัน ที่ต้องหันมาฆ่ากันเองยืดเยื้อยาวนานถึง 30 ปีจนพลเมืองล้มตายกันไปเกือบครึ่งประเทศ...ฯลฯความเบื่อหน่ายเหล่านี้นื่เอง...ที่นำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงอย่าง ห่วงยางเด็ก ฉกาจฉกรรจ์” ขึ้นมาในลังคมยุโรป เมื่ออำนาจของฝ่ายศาลนจักรได้รับการ ปฏิเสธและการต่อต้านเพิ่มขึ้นๆ บทบาทอิทธิพลในด้านต่างๆ ก็จึง ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไป จนในท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวํแติ หรือเปลี่ยนแปลงในระดับถึงรากถึงโคนในทุกๆ ต้าน ไม่ว่าในต้านการเมือง, การปกครอง, การเศรษฐกิจ...หรือแม้กระทั่ง “การเปลี่ยนแปลงทางด้าน ทัศนะความคิด”...ที1ล้วนแล้วแต่เป็นไปในลักษณะของความพยายามแยก ตัวเองออกมาจากการชี้นำของศาลนจักร หรือกระทั่ง “ปฏิเสธ” ศาสนจักร กันไปเลยก็มี...การเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนะหรือในด้านแนวความคิดที่ว่านี้ อาจ จะถือได้ว่า...เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มืผลอย่างลึกซึ้ง, กว้างขวางไม่ใช่แต่ 24 นmคุกวิทยาศาสตร์ ล้างตำนาน...ดารวัน
ห่วงยางเล่นน้ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น